อัมพร ด้วงปาน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ
คุณอัมพร ด้วงปาน เป็นผู้นำชุมชนอาวุโสที่ทำงานพัฒนามายาวนาน ได้เรียกแทนตัวเอง และคนทั่วไปได้รู้จักในฐานะ “ลุงอัมพร” ได้ริเริ่มกลุ่มออมทรัพย์ตำบลคลองเปียะมาตั้งแต่ปี 2523 อาศัยแนวคิดการเรื่องกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ของกรมพัฒนาชุมชนเอง โดยมีเหตุจากสมัยก่อนชาวคลองเปี้ยะเป็นหนี้สินกันมากทั้งหนี้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธกส.) และหนี้นายทุนเงินกู้นอกระบบ ซึ่งบางที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงสุดถึงร้อยละ ๒๐ ต่อเดือน และด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูง จึงทำให้การหมุนเวียนเงินทุนไม่ทันเท่าเงินกู้ ทำให้เกิดหนี้สินล้นพ้นความสามารถในการจัดการกันเองได้
ลุงอัมพร เกิดเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2486 เป็นคนพื้นที่ตำบลคลองเปียะ อ.จะนะ มาตั้งแต่กำเนิดเรียนหนังสือในระบบ จบชั้นประถมศึกษาที่ 4 แต่ได้เรียนรู้จากการปฏิบัติคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ทดลองทำ พูดกระตุ้นให้คนอื่นได้เข้าใจสิ่งที่มีคุณค่ามาตลอด ช่วงอายุการทำงานอาชีพประจำก่อนเกษียณตัวเอง ได้ทำหน้าที่เป็นภารโรง ประจำโรงเรียนประถม และได้ทำสวนยางพารา สวนสมรมที่เรียกว่า “สวนอัมพร” มีต้นไม้หลายๆ อย่างควบคู่กันไป
ลุงอัมพร ได้เริ่มการจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ ตั้งแต่ปี 2523 จากการรวมตัวกันของคนในคลองเปี้ยะ มีจุดร่วมที่เห็นพ้องก็เพื่อแก้ปัญหาเรื่องทุนและหนี้สิน มีระบบการเรียนรู้ร่วมกันในการจัดการทรัพยากรที่มี ทั้งคน ภูมิปัญญา และทรัพยากรธรรมชาติ โดยลุงนายอัมพรเป็นประธานและผู้รับผิดชอบดูแลกิจกรรมชุมชนนี้ ซึ่งคำว่า ดูแล หมายถึง การจัดเก็บบัญชี การจัดเก็บเงินสัจจะ พิจารณาเงินกู้ การชำระเงินกู้ และพิจารณาสวัสดิการต่างๆ ให้แก่สมาชิก ซึ่งในแต่ละหมู่บ้านอาจมีการจัดตั้งคณะกรรมการประจำหมู่บ้านเพิ่มขึ้นมาทำงานร่วมกับกลุ่ม
ระยะแรกเริ่มก่อตั้งมีสมาชิกทั้งสิ้น ๕๑ คน ซึ่งมาจาก ๗ หมู่บ้านในตำบลคลองเปี้ยะ มีเงินออมสัจจะ( เงินออมรายเดือนๆ ละเท่าๆ กัน ) เริ่มแรกที่ ๒,๘๕๐ บาท ตกประมาณคนละ๕๐–๑๐๐ บาท โดยทางกลุ่มจะนำเงินไปฝากธนาคาร และถ้าสมาชิกมีความประสงค์จะกู้เงิน ให้ไปกู้เงินจากธนาคารโดยจะมีกองทุนค้ำประกันให้ ทำให้สิ้นปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ทางกลุ่มได้แบ่งเงินปันผลให้แก่สมาชิกเพียงอัตราร้อยละ ๒ ทำให้สมาชิกลาออกไป ๒๔ คน เนื่องจากถ้านำไปฝากธนาคารทั่วไปจะได้ดอกเบี้ยมากกว่า
จากบทเรียนข้างต้นกรรมการกลุ่มเล็งเห็นว่าควรปรับเปลี่ยนระบบการบริหารกองทุนเสียใหม่ มีแนวคิดเชิงรุกที่จะอาศัยกองทุนในการพัฒนาวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิกให้ดี ลดการกู้ยืมภายนอก เน้นการพึ่งพาตนเอง และเพื่อเป็นการขยายฐานสมาชิกให้มากขึ้นด้วย โดยมีการนำเงินกองทุนมาให้สมาชิกกู้ไปลงทุนด้านอาชีพ และพัฒนาคุณภาพชีวิต จากวิธีการดังกล่าวทำให้สมาชิกมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าดอกเบี้ยต่ำกว่าการไปกู้ยืมจากนายทุนเงินกู้ ถ้าเงินเหลือจากการปล่อยให้กู้ กลุ่มก็จะนำเงินกองทุนไปฝากธนาคาร ๓ ปีต่อมา( ปลายปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ) มีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น ๓๕๕ คน เมื่อจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น เงินออมก็มีจำนวนเพิ่มขึ้น สามารถปล่อยเงินกู้ได้มากขึ้น ส่งผลให้กลุ่มมีกำไรเพิ่มขึ้น สามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่สมาชิกมากขึ้นเป็นร้อยละ ๖.๕๐ เมื่อสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๒๕ การได้เงินปันผลใกล้เคียงกับเงินปันผลเงินฝากของธนาคาร และการมีสิทธิกู้เงินดอกเบี้ยต่ำกว่าการกู้จากนายทุนเงินกู้ ทำให้สมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งจากคนคลองเปี้ยะเอง และภายนอกที่สนใจ จนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ รวมเวลา ๑๘ ปี มีสมาชิกรวม ๓,๗๙๐ คน ระดมเงินออมได้มากถึง ๕๑ ล้านบาทเศษ พร้อมเงินสัจจะที่เพิ่มขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ถึงเดือนละ ๑,๐๑๘,๗๐๐ บาท สามารถจ่ายเงินปันผลแก่สมาชิกได้ถึงร้อยละ ๑๓ สำหรับเงินฝากครบปี และร้อยละ ๗ สำหรับเงินสัจจะ ด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ ๑.๒ ต่อเดือน สมาชิกสามารถกู้เงินในวงเงินออมของตน หากจะกู้เกินวงเงินออมของตนเองต้องมีสมาชิกที่มีวงเงินออมเหลืออยู่มาค้ำประกัน รวมทั้งระบบให้กรรมการหมู่บ้านและชุมชนเป็นผู้ค้ำประกันตลอด ๑๘ ปีที่ผ่านมาจึงไม่มีหนี้เสีย ซึ่งเคยมีปัญหา ๕ ราย แต่สามารถติดตามคืนได้ทุกราย กองทุนออมทรัพย์คลองเปี้ยะ มีกำไรถึง ๗ ล้านบาทเศษต่อปี ซึ่งนอกจากนำมาปันผลและตอบแทนกรรมการแล้ว ยังสมารถนำเงินกำไรไปช่วยงานฌาปนกิจสงเคราะห์ของสมาชิก อุดหนุนกองทุนบรรเทาสาธารณภัย และจัดสวัสดิการช่วยรักษาพยาบาลของสมาชิกจาก ร้อยละ ๓๐ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๗ เพิ่มขึ้นปีละ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ และตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๔กองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาล สามารถรับภาระค่ารักษาพยาบาลได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ในลักษณะกองทุน โดยการนำเงินดอกผลมาใช้ซึ่งไม่ใช่เงินต้น โดยใช้ดอกผลไปรวมกับเงินอุดหนุนที่ได้รับการจัดสรรจากกองทุนออมทรัพย์ในแต่ละปี ซึ่งจะจ่ายเฉพาะใบเสร็จหรือสำเนาใบเสร็จจากโรงพยาบาลของรัฐ แต่มีข้อกำหนดว่าจะจ่ายเฉพาะผู้ที่มีเงินออมตั้งแต่ ๑๐ เดือนขึ้นไป
ลุงอัมพร มีลักษณะเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ ที่มีความสามารถ และมีความตั้งใจจริงในการทำงานเพื่อชุมชน แรกเริ่มเดิมทีกลุ่มออมทรัพย์ฯ ถูกปรามาสและโดนโจมตีจากนายทุนเงินกู้ท้องถิ่น โดยเฉพาะเรื่องความโปร่งใสในการทำงาน และผู้ใหญ่บางท่านถึงกับกล่าวว่า มีความรู้เท่าใดนักหรือ แล้วจะบริหารรอดหรือเปล่า ลุงอัมพรและเหล่ากรรมการกองทุนออมทรัพย์ฯ ได้แก้ปัญหาด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีการรับผิดชอบในทุกขั้นตอน มีการนำสมาชิกและกรรมการเข้ามาร่วมคิดร่วมทำ ในการตัดสินใจใดๆ ก็ตามจะมีผู้รับผิดชอบรวมรับรู้โดยตลอด
ด้วยระบบการเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้จากภาคปฏิบัติ ลองผิดลองถูกและระบบการเสริมสร้างการบริหารจัดการให้เกิดความรับผิดชอบ ภายใต้การถ่ายทอดประสบการณ์ที่ทำไปพร้อมกัน ทำให้เกิดกระบวนการคัดเลือกผู้นำธรรมชาติที่สมาชิกยอมรับในความซื่อสัตย์ สามารถไว้เนื้อเชื่อใจได้ มีความกล้าคิด กล้ารับผิดชอบ ตลอดทั้งขยันชี้แจง มีความสามารถในการรับผิดชอบชดใช้เงินในส่วนที่ ขาดตกบกพร่อง
อาจจะกล่าวได้ว่า ความสำเร็จของกองทุนออมทรัพย์ฯ นั้นเกิดขึ้นจากการมีผู้นำที่มีความสามารถในการสื่อสารขยันชี้แจงเหตุผล กล้าที่จะติดตามทวงหนี้หรือปรับผู้ที่ส่งเงินไม่ตรงต่อเวลา เป็นผู้บังคับติดตามผลให้เป็นไปตามกติกาในการอยู่ร่วมกัน การขยันชี้แจง ประชาสัมพันธ์ บอกกล่าว สืบเนื่องมาจากการที่ผู้นำ กล้าคิด และทำโดยรับผิดชอบ เป็นหัวใจสำคัญในการปฏิบัติงาน เพราะด้วยเรื่องเงินเป็นเรื่องสำคัญสำหรับมนุษย์
ผลประโยชน์ โดยเฉพาะเรื่องเงินใครๆ ก็อยากได้มา ความซื่อสัตย์สุจริตและไม่เห็นแก่ตัวก็เป็นส่วนเสริมบารมีของผู้นำให้น่าศรัทธา สมกับความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นที่ยอมรับของสมาชิก
อย่างไรก็ดี ผู้นำที่ประพฤติดีนั้น ยังไม่พียงพอที่จะสร้างความก้าวหน้าให้แก่องค์กรได้เท่าที่ควร การที่มีผู้นำเป็นผู้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ทำให้เข้าใจในกระบวนการตลอดทั้ง วิเคราะห์ข้อมูล หาปัญหาที่ต้นเหตุ วิเคราะห์ปัญหาและเสนอหนทางแก้ปัญหาที่ถูกต้องนั้น จะส่งเสริมให้องค์การก้าวหน้าขึ้นได้ทุกทิศทาง
"แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง เป็นกระบวนการไม่ยึดติด เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจพอเพียงจึงมีหลายระดับ
หลายกลุ่มคน พอเพียงพอเหมาะพอสมตามอัตภาพ ในอดีตเรายึดปัจจัยสี่ ปัจจุบันปัจจัยสี่ไม่เพียงพอ
กระบวนการออมทรัพย์ จึงเป็นกระบวนการพัฒนาคนเพื่อให้คนหันมาพึ่งพิงกัน
การส่งเสริมการออมเป็นหัวใจกองทุน แต่ยังมีความแตกต่างในหลายระดับจึงมีความพอเพียงต่างระดับ
ไม่ว่าจะพอเพียงในระดับในสิ่งที่เราได้มาต้องไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่ควรมาจากสิ่งไม่ดี ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
และท้ายที่สุดไม่ทำให้ประเทศชาติเสียหาย การนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ต้องสร้างสูตรคิด ให้กับคน
ให้คนเข้าใจในความพอเพียง สอนคนให้รู้เท่าทัน ให้เกิดความรักสามัคคี
ต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนที่แตกต่างกัน ไม่ทำอะไรฝืนธรรมชาติ แต่ต้องไม่ปล่อยไปตามกระแส
สุดท้ายคือ ต้องเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา"
แหล่งที่มาข้อมูล
หนังสือ ชีวิต ประสบการณ์ และข้อคิดของผู้นำในขบวนการพัฒนาองค์กรชุมชน สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน www.pattanathai.nesdb.go.th
ความคิดเห็นจากทางผู้ใช้งาน Facebook (0)